“ไข้” เป็นแค่ไหนตัองพบแพทย์ (แค่กินยาลดไข้พอไหม ?)

 

“ไข้” เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าเศรษฐี หรือคนทำงานหาเช้ากินค่ำ เวลามีผู้ป่วยมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาล แพทย์พยาบาลมักจะเรียกว่า “คนไข้”จนติดปาก แสดงว่าไข้น่าจะเป็นอาการที่พบบ่อยจนกลายเป็นคำพูด ติดปาก

 


 

“ไข้” เกิดจากการที่ร่างกายพยายามปรับสมดุล เนื่องจากมีการอักเสบเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานสูงขึ้น (มีผลให้อุณหภูมิสูง) รวมทั้งมีการระบายความร้อนออกด้วยการขับเหงื่อเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกายลง ส่วนใหญ่มักจะถือว่า มีไข้ ถ้าวัดอุณหภูมิทางปากได้มากกว่า 38.3 องศาเซลเซียส   ไข้แบ่งได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามระยะเวลาที่มีอาการ คือ ไข้เฉียบพลัน ซึ่งมักจะมีอาการมาไม่เกิน 7 วัน หรือ ไข้เรื้อรัง คือเป็นไข้มาแล้วอย่างน้อย 3 สัปดาห์ แต่ถ้าอยู่ในระหว่าง 7-21 วันมักจะเรียกว่า ไข้กึ่งเฉียบพลัน หรืออาจจะแบ่งตามสาเหตุ อวัยวะที่มีอาการก็ได้ การแบ่งระยะเวลาของไข้อาจจะบอกถึงกลุ่มโรคที่เป็นสาเหตุได้

 


 

สาเหตุของไข้ เกิดจากทั้งโรคติดเชื้อ และโรคไม่ติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม โรคติดเชื้อเป็นสาเหตุที่สำคัญของไข้ โดยเฉพาะไข้เฉียบพลัน ถือเป็นร้อยละ 80 ขึ้นไป ในขณะที่ไข้เรื้อรังอาจเกิดจากโรคไม่ติดเชื้อ ร้อยละ 30-40  โรคไม่ติดเชื้อที่สำคัญที่เป็นสาเหตุของไข้ ได้แก่ โรคภูมิแพ้ตนเอง โรครูมาตอยด์ โรคคอพอกเป็นพิษ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยๆ เท่านั้น จริงๆ แล้วยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย

โรคติดเชื้อ เป็นสาเหตุสำคัญ ทั้งไข้เฉียบพลัน และไข้เรื้อรัง เชื้อโรคที่ทำให้เกิดไข้ อาจเป็นได้ทั้ง เชื้อแบคทีเรีย     เชื้อไวรัส เชื้อวัณโรค เชื้อรา เชื้อพยาธิ อย่างไรก็ตาม เชื้อโรคเหล่านี้บางอย่างเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของไข้เฉียบพลัน เช่น แบคทีเรีย ไวรัส แต่บางอย่างเป็นสาเหตุที่พบบ่อยชองไข้เรื้อรัง ได้แก่ วัณโรค เป็นต้น แม้กระทั่งในแต่ละกลุ่มเชื้อโรคเองบางชนิดก็ทำให้เกิดไข้เฉียบพลัน  บางชนิดก็ทำให้เกิดไข้เรื้อรังได้ หรือเกิดได้ทั้ง 2 แบบ ความรุนแรงของอาการก็แตกต่างกันได้ในแต่ละคน แม้จะเกิดจากการติดเชื้อชนิดเดียวกันก็ตาม เช่น ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสไข้เลือดออกส่วนใหญ่   จะหายเอง แต่บางรายอาการรุนแรงจนเสียชีวิตได้

 


 

คนที่มีไข้ จะรู้สึกไม่สบายตัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ไม่อยากไปทำงาน อยากจะพักผ่อน ซึ่งเป็นกลไกปกติของร่างกายในการปรับสมดุล นอกจากนั้นยังมีอาการตามอวัยวะที่มีการอักเสบเกิดขึ้น  มีสารคัดหลั่งของระบบนั้นๆ ออกมามากขึ้น เช่น ถ้ามีการอักเสบที่ปอด ก็จะไอ มีเสมหะ ถ้าอักเสบที่ข้อก็จะปวดข้อ ข้อบวมเนื่องจากมีน้ำในข้อเพิ่มขึ้น เป็นต้น สารคัดหลั่งอาจมีลักษณะเป็นสีเหลืองข้น หรือเป็นหนองได้ ถ้ามีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว และเนื้อเยื่อที่ตายมาสะสมจำนวนมากในสารคัดหลั่งนั้น เช่น น้ำมูกเหลืองข้น ฝี  โดยทั่วไป เมื่อมีไข้ก็ต้องกินยาลดไข้ก่อนเพื่อบรรเทาอาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการปฐมพยาบาลขั้นต้น และยาลดไข้สามารถซื้อหาได้ง่ายจากร้านขายยาทั่วไป นอกจากนั้นผู้ที่มีไข้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อชดเชยการการสูญเสียเหงื่อจากการระบายความร้อน

 


 

ไข้จะหายไปเมื่อร่างกายควบคุม หรือกำจัดสาเหตุของไข้ออกจากร่างกายไปได้ ดังนั้นการที่ไข้จะหายเร็วแค่ไหน ขึ้นกับปัจจัยใหญ่ๆ 3 ประการคือ ภูมิต้านทานของคนคนนั้น สาเหตุของไข้ และการรักษาจำเพาะที่ต้นเหตุ เนื่องจากไข้เฉียบพลันส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น  หวัด เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ และมักจะหายเองได้ใน 3-7วัน ดังนั้นการดูแลรักษาตัวเองเบื้องต้นดังกล่าวก็เพียงพอ  อาจไม่ต้องมาพบแพทย์ ถ้ามียารักษาอาการร่วมต่างๆ อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติมเนื่องจากไข้ที่มีอาจไม่ใช่ไข้จากโรคติดเชื้อ หรือเป็นไข้จากโรคติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษาจำเพาะ หรือเป็นโรคติดเชื้อที่อาการอาจจะทวีความรุนแรง จนอาจเกิดการติดเชื้อหรือลุกลามไปยังระบบอื่นๆ จนอาจถึงแกชีวิตได้  การกินยาลดไข้โดยเฉพาะยาพารา  เซ็ตตามอลเป็นจำนวนมากหลายวันติดต่อกันอาจมีพิษต่อตับ ทำให้ตับวายจนถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน

 


 

ผู้ป่วยที่ควรจะมาพบแพทย์ เมื่อมีไข้แต่เนิ่นๆ มีดังต่อไปนี้  

  1. เป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ เมื่อมีการติดเชื้ออาจเกิดการลุกลามได้รุนแรง ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหรือยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นต้น
  2. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ที่มีการทำงานของอวัยวะในร่างกายบกพร่องอยู่เดิม ซึ่งเมื่อมีไข้สูงอยู่นานอาจทำให้ร่างกายทนไม่ไหว ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่ยังควบคุมไม่ได้ดี โรคตับแข็ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง อายุมาก หรือเด็กแรกคลอด  เป็นต้น
  3. ผู้ป่วยที่มีไข้ ร่วมกับอาการอื่นๆ ที่มีความรุนแรงขึ้น จนรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ไอมากขึ้น ท้องเสียมากขึ้น ปัสสาวะขัดขุ่นมากขึ้น ทั้งๆ ที่ได้รับการักษาตามอาการเต็มที่แล้ว
  4. มีอาการผิดปกติหลายๆ ระบบร่วมกัน เช่น มีดีซ่านร่วมกับจุดเลือดออก หอบเหนื่อย หรือมีความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น
  5. มีการระบาดของโรคติดเชื้อในชุมชนที่พักอาศัย ซึ่งบางอย่างอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ในบางช่วงอายุ ได้แก่ ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่
  6. มีประวัติสัมผัสโรคบางอย่างที่มีการรักษาจำเพาะ เช่น ไข้มาลาเรีย ไข้สุกใส
  7. ไข้เรื้อรัง กินยาลดไข้อย่างเดียว ไม่หาย หรือนานกว่าที่คาดหมาย อาจจะเกิดจากโรคติดเชื้อเรื้อรัง หรือจาก โรคไม่ติดเชื้อ ควรมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  8. ไม่แน่ใจว่าไข้เกิดจากสาเหตุใด จะมีอาการรุนแรงหรือไม่ ก็ควรจะมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

 


 

แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณที่ผู้ป่วยมีอาการเด่นชัด มีการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาสาเหตุ และประเมินความรุนแรงของอาการและสาเหตุ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่ได้จากประวัติและการตรวจร่างกาย ในกรณีที่สามารถวินิจฉัยสาเหตุของไข้ว่าอาการไม่รุนแรง หรือแพทย์คิดว่าการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่ช่วยในการวินิจฉัยในขณะนั้น แพทย์จะสั่งการรักษาได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หรือมีโอกาสที่จะเกิดอาการรุนแรง แพทย์อาจรักษาไปก่อนด้วยยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอันตราย ยาปฏิชีวนะจะได้ประโยชน์เฉพาะไข้ที่เกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น กรณีที่ไข้เกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่โรคติดเชื้อก็ต้องใช้ยารักษาสาเหตุอื่นๆ เช่น ไข้จากคอพอกเป็นพิษ ก็ต้องรักษาด้วยยาลดการทำงานของไธรอยด์ ไข้จากโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเองก็ต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น  ยังมีความสับสนระหว่างยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ ยาแก้อักเสบ หมายถึงยาที่ไปลดการอักเสบในร่างกาย แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ ส่วนยาปฏิชีวนะ หมายถึงยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่รวมถึงยาฆ่าเชื้อไวรัส หรือเชื้อพยาธิ ยาปฏิชีวนะมักจะลดการอักเสบลงได้ ถ้าเชื้อก่อโรคนั้นทำให้เกิดการอักเสบแต่ไม่ได้ลดการอักเสบโดยตรง

อย่างไรก็ตามโรคติดเชื้อไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเสมอไป เนื่องจากร่างกายสามารถกำจัดเชื้อโรคหลายชนิดออกจากร่างกายได้เอง เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะโรคติดเชื้อไวรัสที่ก่ออาการของระบบทางเดินหายใจส่วนบนในผู้ใหญ่ เช่น หวัด หลอดลมอักเสบ  โรคติดเชื้อบางอย่างก็ไม่มียารักษาจำเพาะ เช่น ไข้เลือดออก การรักษาตามอาการ เช่นกินยาลดน้ำมูก แก้ไอ ระยะเวลาหนึ่ง อาการต่างๆ ก็จะหายไปได้เอง

 หมายเหตุ เรียบเรียงจาก บทความของภิรุญ  มุตสิกพันธุ์ หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ก  “รู้ทันโรคภัย กับราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ” 

 

 

 

More
หยุดวงจร HIV เริ่มที่เรา! แพทย์ชี้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือ เร่งสร้างความเข้าใจ-ป้องกันถูกวิธี ลดการแพร่ระบาด
GSK เสริมภูมิคุ้มกันทุกวัย หนุน Silver Aging สู่สังคมไทย เนื่องในวันประชากรโลก
คาด 2568 มะเร็งปอดขึ้นเป็นภัยร้ายอันดับหนึ่ง พบหญิงไทยไม่สูบบุหรี่ป่วยติดอันดับ 2 ของโลก
ไขข้อข้องใจ “โรคกระดูกสันหลัง” เกิดจากพันธุกรรม หรือพฤติกรรม?
นวัตกรรม “การผ่าตัดไร้รอยแผล” ทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งผลลัพธ์การรักษาและความงาม
Others
“มดแดงฯ” เปิดตัวธุรกิจใหม่ปั้น TikToker สร้างอาชีพ ชวน “เวียร์” – “แพทริเชีย” ร่วมแชร์ประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์
อาทิตย์เดียวทะลุล้านวิว "ฟิล์ม มนัสนันทร์" ขอบคุณทุกกำลังใจ “อย่าหลอก (Lies)” เข้าถึงคอเพลงทั่วประเทศ
CPS CHAPS” (ซีพีเอส แชปส์) แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำของเมืองไทย เปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชั่น Summer Collection 2015 กับลุคสไตล์ร...
โลดแล่นบนรถบัสแห่งความสุขกับ “2023 AK LIU ZHANG BUS STOP BANGKOK TOUR"
“แจ็คสัน หวัง“ ขึ้นแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์เอเชีย-แปซิฟิกคนใหม่ของ ANESSA
Latest
โฟร์ท ณัฐวรรธน์ มูฟขึ้นแท่น FACE OF MAYBELLINE นำเสนอความเนียนในรูปแบบใหม่! Maybelline Thailand
“Bambi The Reckoning- แบมบี้” ความสยองอันดับที่ 4 ในจักรวาล Twisted Childhood พร้อมให้คอหนังพิสูจน์ความน่าสะพรึงกลัว 4 ก...
เปิดตัว โครงการการกุศลบทกวีจากเครื่อง POS UnionPay ครั้งแรกในประเทศไทย “แสงกวีส่องดวงใจ (Poetry Lights the Heart's Lante...
iblanc Langsat Sun Protection SPF50 PA++ กันแดดยุคใหม่ เข้าใจทุกผิว เบลอผิว เบลอสิว ไม่อุดตัน
Taylor Swift เซอร์ไพรส์! เตรียมปล่อย The Life of a Showgirl อัลบั้มใหม่ชุดที่ 12 ได้ Sabrina Carpenter ร่วมแจม

 

 

Top Hits
“พีพี กฤษฏ์” ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์นมพิสทาชิโอแบรนด์ ซันคิสท์ แบรนด์ระดับโลก พร้อมร่วม ครีเอทเมนูสุดพิเศษด้วยนมพิสทาชิโอที่...
มัดรวมภาพประทับใจจากงาน เนสกาแฟ โกลด์ เครมมา คอลแลปส์ แจ็คสัน หวัง เนรมิต “เดอะ ไฟน์เนส แมนชั่น”
Za DEEP HYDRATION ผิวเปล่งปลั่งอิ่มน้ำมีประกาย สวยตั้งแต่วินาทีนี้
ลดอาการปวดเมื่อยด้วย “ท่านอนที่ถูกวิธี”
Bruce Jenner ตัดสินใจเป็นผู้หญิงในวัย 65 ปี
“เก้า - สุภัสสรา” ชวนช้อปสนุกสุดฟิน กับบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน สิทธิพิเศษเหนือระดับ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ที่ศูนย์กา...
10 อันดับอาหารคอเลสเตอรอลสูง