“วุ้นตาเสื่อม”...ภัยเงียบใกล้ตัว
category: Health
tag: วุ้นในตาเสื่อม
ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนทำงานในเมืองยุคปัจจุบัน นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านสุขภาพหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ “ภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อม”ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะพบมากขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงาน
ปกติแล้วในลูกตากลมๆ ของเราจะมีน้ำวุ้นตาเป็นสารใสคล้ายเจลอยู่ภายในลูกตาส่วนหลัง คั่นกลางระหว่างเลนส์กับจอประสาทตา ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้แสงผ่าน ให้สารอาหารแก่จอประสาทตาและเซลล์ผนังลูกตาชั้นใน และช่วยพยุงลูกตาให้คงรูปเป็นทรงกลม แต่เมื่อน้ำวุ้นตาเสื่อมลง จากลักษณะที่เป็นวุ้นกลายเป็นของเหลวเมื่อเรากลอกตาวุ้นเหล่านี้ก็จะกระเพื่อม จึงเห็นเหมือนมีเงาลอยไปมา ซึ่งอาจมีรูปร่างแตกต่างกันหลายรูปแบบ เช่น จุดเล็กๆ คล้ายลูกน้ำ วงกลม หรือเป็นเส้นๆ คล้ายหยากไย่ หากเป็นมากจะมีอาการเห็นแสงสว่างคล้ายสายฟ้าแลบ และรู้สึกเหมือนขอบเขตการมองเห็นด้านข้างจะแคบลง เนื่องจากจอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอก
โรควุ้นตาเสื่อม
โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุจากการเสื่อมตามธรรมชาติของเนื้อเยื่อ แต่ก็มีภาวะบางอย่างที่ทำให้เป็นโรคนี้ได้เร็วทั้งที่อายุไม่มาก เช่น สายตาสั้นมากๆเคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะ รวมถึงคนที่ต้องใช้สายตามากๆ เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์ทำงานบีบคั้นต้องจดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆ
การจ้องหน้าจอนานๆ สาเหตุหลักของโรควุ้นตาเสื่อมในวัยทำงาน
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานและกรรมการผู้บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน)นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกผู้คิดค้นวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลจากสารสกัดธรรมชาติเพื่อถนอมดวงตากล่าวว่า จากการศึกษาของการแพทย์สาขาภูมิคุ้มกันวิทยาพบว่า สาเหตุที่แท้จริงของความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตารวมถึงอาการน้ำวุ้นในตาเสื่อมนั้น เกิดจากการที่เม็ดเลือดขาวในตัวเราสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (Pro-imflammatory cytokines) มากเกินไป ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและแก้ไขความผิดปกติเหล่านี้ก็คือ การกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ลดการหลั่งสารเหล่านี้ให้น้อยลงจนเข้าสู่ภาวะสมดุล
การฉีด Interleukin 18(IL18) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน เข้ากระบอกตาเพื่อระงับและหยุดการไหลออกของเลือดหลังจอประสาทตาเสื่อม ป้องกันตาบอด
การวิจัยล่าสุดของคณะนักวิจัยของบริษัทเอเชียนฯ ได้ค้นพบนวัตกรรมชื่อว่า“APCOcapsule” และ “APCOessence” ที่สกัดจากพืชธรรมชาติ 5 ชนิด มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และบัวบก เมื่อนำมาเสริมฤทธิ์กันจะมีประสิทธิภาพในทำให้เม็ดเลือดขาวลดการหลั่งสารก่อการอักเสบลงโดยผลการทดสอบจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ว่าสารที่ก่ออาการอักเสบในเม็ดเลือดขาวมีอัตราลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้IL-1-beta ลดลง 6%, IL-3 ลดลง 27%, IL-17 ลดลง 45%, TNF-alpha ลดลง 93% และ IFN-gamma ลดลง 10%จึงสามารถช่วยป้องกันและทำให้อาการน้ำในวุ้นตาเสื่อมรวมถึงความผิดปกติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงตาดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่น อาการตาแห้ง ต้อกระจก ต้อหิน ม่านตาอักเสบ จอประสาทตาเสื่อม และความผิดปกติที่สืบเนื่องมาจากอาการแพ้ภูมิตัวเอง เช่น เบาหวานขึ้นตา พังผืดที่ตา เป็นต้น
ภาวะวุ้นในตาเสื่อมลง
จากประสบการณ์ตรงของมนุษย์เงินเดือนที่เกิด “ภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อม” คุณกนกพร ศรีจันทร์ เล่าให้ฟังว่า มีปัญหาวุ้นตาเสื่อมมาตั้งแต่อายุ 40 ปี“แรกๆ จะเห็นเป็นหยากไย่ลอยไปมา และมีจุดดำๆ 2-3 จุด เวลากระพริบตาจะรู้สึกหนืดๆ ที่ดวงตา ไปตรวจที่โรงพยาบาลหมอบอกว่า ไม่มีทางรักษาให้หายขาดหรือดีขึ้นได้ มีแต่จะเสื่อมไปเรื่อยๆ ทำได้แต่คอยสังเกตอาการและบรรเทาอาการด้วยน้ำตาเทียมเท่านั้น เป็นแบบนี้มา 13 ปีแล้ว ไม่มียาหรืออะไรที่ช่วยได้เลย”
“ตอนเป็นแรกๆ อาการส่วนใหญ่แค่ทำให้รำคาญ แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตมากเท่าไหร่จนกระทั่งเป็นมากขึ้นมองเห็นจุดดำเพิ่มเป็นสิบๆ จุดเต็มไปหมด และยังเห็นแสงแลบบ่อยขึ้น ก็ยิ่งกลัวเพราะโรคนี้ถ้าเป็นรุนแรงจะมีสิทธิ์ที่จะตาบอดได้เหมือนกัน เวลาอ่านหนังสือ ดูทีวี จะมีปัญหามาก ยิ่งเวลาออกแดด ก็จะสู้แสงไม่ค่อยได้ด้วย”
ด้านคุณอภิญญา อุฬุมปานนท์ เล่าว่ามีปัญหานี้เหมือนกัน ด้วยอาชีพนักบัญชีทำให้ต้องอยู่กับตัวเลขใช้คอมนานๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน พอมาเป็นโรคนี้แล้วค่อนข้างลำบากมาก มองอะไรก็ไม่ชัด แสบตาตลอด ยิ่งเวลาขับรถโดยเฉพาะตอนกลางคืนจะทำแทบไม่ได้เลย เพราะจะแยกแสงไฟบนถนนไม่ได้ว่าเป็นแสงมาจากไหน หมอก็ได้แต่ให้หยอดน้ำเทียมบรรเทาอาการ และแนะนำให้พักผ่อนมากๆ และใช้สายตาให้น้อยลงซึ่งก็ทำได้ยากด้วยหน้าที่การงาน
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรานักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกที่ค้นคิดวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุล จากสารสกัดธรรมชาติ
ศ.ดร.พิเชษฐ์ ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ในภาวะทำงานที่หลีกเลี่ยงการใช้สายตาเป็นเวลานานๆได้ยากสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อป้องกันภาวะน้ำวุ้นตาเสื่อมคือ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และที่สำคัญต้องรู้จักใช้ดวงตาอย่างทะนุถนอม ไม่ควรใช้สายตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอนานๆ อาจใช้วิธีพักสายตาด้วยการหลับตาสักครู่ หรือปรับโฟกัสมองไกลๆ บ้าง ร่วมกับการนวดคลึงเบาๆ และไม่ควรละเลยการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะการตรวจพบตั้งแต่แรกเริ่มจะช่วยให้การดูแลรักษาทำได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาสามารถเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ฟรี ณ ศูนย์รับปรึกษาปัญหาข้อ เข่า เบาหวานและดวงตา ถนนรัชดาภิเษก โทร 1154
|