พูดคุยกับ “Zoë Kravitz” สาวสุดมั่นจาก X-Men: First Class พลิกบทเล่นเป็นคน โรคอนอเร็กเซีย
category: Entertainment - Hollywood
tag: The Road Within Zoë Kravitz โซอี้ คราวิทซ์ The Road Within Divergent movie
“โซอี้ คราวิทซ์” นักแสดงสาวสุดเปรี้ยว ที่เราคุ้นหน้าเธอในหนังดังหลากหลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ X-Men: First Class (2011) After Earth (2013) และล่าสุดกับ The Road Within ภาพยนตร์ฟีลกู๊ดที่ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพและแรงบันดาลใจ
ก่อนหน้านี้เธอแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับการแสดงเป็นคริสติน่า ในภาพยนตร์ไซไฟสุดร้อนแรง Divergent (2014) รวมไปถึงในปีนี้กับการกลับมาสวมบทบาทเดิมและสานต่อเรื่องราวสุดยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวในภาคต่อของภาพยนตร์แอ็คชั่น – ไซไฟอย่าง The Divergent Series: Insurgent รวมไปถึงการรับบทเป็นหนึ่งในแก๊งค์สาวสุดเซ็กซี่ในภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดระห่ำอย่าง Mad Max: Fury Road ที่กวาดคำชมจากเหล่านักวิจารณ์มากมาย โดยล่าสุด โซอี้ มารับเด่นใน The Road Within ภาพยนตร์ฟีลกู๊ดที่ถ่ายทอดเรื่องมิตรภาพและแรงบันดาลใจอันแสนอบอุ่น ซึ่งงานนี้เรียกได้ว่าเป็นบทบาทอันแสนท้าทายครั้งสำคัญที่เธอขอทุ่มเทการแสดงชนิดสุดตัวเลยก็ว่าได้ ไปฟังเธอเล่าถึงประสบการณ์ในการแสดงเรื่องนี้กัน
Q : ช่วยเล่าถึงคาแรคเตอร์ของคุณอย่าง ‘มารี’ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Road Within” นี้ให้เราฟังหน่อยครับ
A : มารีเป็นโรคอนอเร็กเซีย หรืออาการกลัวความอ้วนค่ะ วันหนึ่งเธอได้พบเจอกับ ‘วินเซนต์’ (โรเบิร์ต ชีฮัน) และ ‘อเล็กซ์’ (เดฟ พาเทล) ที่คลินิก ซึ่งเธอก็เป็นคนที่หัวรั้นพอสมควร เธอเป็นคนที่แคร์ตัวเองมากกว่าสิ่งใด และเธอก็รู้สึกได้ว่าที่คลินิกแห่งนี้ไม่ได้ทำให้ตัวเธอดีขึ้นเท่าไหร่นัก ดังนั้นเธอจึงอยากจะหนีไปจากที่แห่งนี้ และแล้วการออกเดินทางในกลุ่มเพื่อนก็เริ่มต้นขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจอันแข็งแกร่งมาก แต่ลึกๆ ก็เต็มไปด้วยความอ่อนแอ เธออยากที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในแนวทางที่ตัวเองต้องการ และประเด็นเรื่อง ‘อาหาร’ นี้ก็เป็นส่วนที่ละเอียดอ่อนมากๆ สำหรับเธอ
Q : เป็นอย่างไรบ้างครับ ? กับการได้เรียนรู้และเข้าไปสวมบทบาทเป็นตัวละครที่ดูมีความละเอียดอ่อนนี้
A : มันเป็นสิ่งที่พิเศษมากที่ได้มารับบทตัวละครนี้ ทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างทีเดียวค่ะ อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวแล้วฉันเข้าถึงกับบทบาทตัวละครของ ‘มารี’ ได้ไม่ยากมากเท่าไหร่ค่ะ เพราะว่าในตอนช่วงสมัยเรียนมัธยมฉันก็เป็นโรคกลัวอ้วนแบบเดียวกันกับในภาพยนตร์ ซึ่งตรงจุดนี้เองทำให้ฉันสนใจที่จะมารับบทนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วด้วย ฉันมองว่าเรื่องภาพลักษณ์ทางร่างกายนี้เป็นส่วนสำคัญในมุมมองของเพศหญิงมากๆ ผู้หญิงหลายคนก็ต้องจัดการกับปัญหาเรื่องอาหารในแต่ละวันนี้เหมือนกัน และโดยเฉพาะผู้หญิงคนไหนที่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิง เรื่องรูปร่างนี้ยิ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่ละเลยไม่ได้เลยค่ะ
Q : คุณต้องเตรียมตัวหรือเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองก่อนจะมาแสดงในภาพยนตร์บ้างไหม ?
A : ฉันได้ไปสัมภาษณ์ผู้หญิงหลากหลายคนที่ศูนย์บำบัดซึ่งเป็นโรคกลัวอ้วนนี้จริงๆ เพื่อเรียนรู้และเก็บประสบการณ์ให้เกิดความสมจริงขณะแสดงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งลดน้ำหนักค่ะ (หัวเราะ) ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ช่วงแรกฉันต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างจริงจังมากจนฉันรู้สึกเวียนหัวไปอยู่พักหนึ่ง มันใช้พละกำลังและเหนื่อยมากทีเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี ฉันลดน้ำหนักตัวลงไปกว่า 20 ปอนด์ ดังนั้นตอนที่ถ่ายทำกันฉันจึงน้ำหนักเหลือแค่ 90 ปอนด์เอง วิธีการลดน้ำหนักนี้ฉันพยายามจะทำให้ถูกต้องตามหลักสุขภาพมากที่สุด แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอยู่พอสมควร ฉันอยากจะแนะนำทุกคนว่าอย่าพยายามลดน้ำหนักลงอย่างหักโหมมากจนเกินไป ช่วงระหว่างที่ลดน้ำหนักฉันกินอาหารคลีน กินซุปผัก – ผลไม้ รวมถึงน้ำชา และก็วิ่งออกกำลังกายทุกวันค่ะ
Q : คุณแสดงทั้งในภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ไปจนถึงระดับกลางและชนิดทุนต่ำ คุณชอบแบบไหนเป็นพิเศษไหม ?
A : ฉันชอบทั้งหมดค่ะ ฉันมองว่าภาพยนตร์ก็คือภาพยนตร์ มันเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะ ประเด็นเรื่องทุนสร้างเป็นส่วนที่ฉันแทบจะไม่ได้สนใจเลย ซึ่งจริงๆ แล้วระบบการทำงานมันก็จะแตกต่างกันไป ถ้าเป็นภาพยนตร์อิสระ – ทุนต่ำทุกคนจะต้องมอบพลังในการทำงานและลงแรงในระดับที่เหนือกว่าภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ เพราะว่านั่นคือประเด็นหลักของภาพยนตร์อิสระ คุณอยากสร้างสรรค์หรือลงมือทำเพราะใจคุณรักมัน และถึงแม้ฉันจะเป็นแค่นักแสดงแต่ก็มักจะมีส่วนร่วมในกระบวนการทั้งหมดด้วย ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นถ่ายทำจนไปถึงดูภาพยนตร์ในช่วงตัดต่อ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นดี แต่กับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์นั้น คุณต้องก้าวถอยออกมาเล็กน้อย แล้วปล่อยให้ทางทีมงานเบื้องหลังทำงานของตัวเองไป ทุกอย่างจะค่อนข้างเฉพาะเจาะจงมาก และทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นกับตามแผนงานที่วางไว้แบบเป๊ะๆ แทบจะไม่มีการคลาดเคลื่อนเลยด้วยซ้ำ
Q : คุณรับตำแหน่งร้องนำในวงดนตรีชื่อว่า “Lolawolf” ด้วย คุณแบ่งเวลาหรือเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของตัวเองไหมระหว่างงานภาพยนตร์กับงานดนตรี
A : จริงๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากเท่าไหร่นะคะ อย่างที่ฉันได้เคยบอกไป ศิลปะก็คือศิลปะ ฉันรักมัน และโดยปกติฉันก็มักจะเข้าหาสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวฉันที่สุดในเวลานั้น บางครั้งก็เป็นงานเพลง บางครั้งก็มีงานภาพยนตร์ ฉันทำมันควบคู่กันไปค่ะ และฉันก็ต้องการจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดเหมือนกันด้วย ... ถ้าเป็นงานภาพยนตร์ ฉันก็อ่านบทภาพยนตร์จากนั้นก็ไปที่กองถ่ายทำ จากนั้นก็จะคิดเสมอว่า “โอเค ฉันจะใช้วิธีการใดบ้างที่จะทำให้งานนี้ออกมามีประสิทธิภาพที่สุดหรือทำให้การแสดงออกมาสมจริงที่สุด ?” ส่วนถ้าเป็นงานดนตรี ฉันก็จะหามุมดีๆ นั่งลงแล้วเริ่มแต่งเพลง โดยการฟังจังหวะดนตรีไปด้วยแล้วก็คิดว่า “เราจะทำเพลงๆ นี้ให้มีเอกลักษณ์อย่างไรบ้างดี ?” ... ซึ่งจริงๆ แล้วการทำงาน 2 แบบนี้ควบคู่กันไปมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซะทีเดียว มันไม่เหมือนกับจู่ๆ คุณถอดหูฟังที่กำลังฟังเพลงอยู่แล้วก็เดินไปแสดงในภาพยนตร์ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนเป็นงานศิลปะ และงานศิลปะที่ดีนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ง่ายๆ คุณต้องใช้ทั้งอารมณ์ ความคิด และเวลาเพื่อที่จะทำให้งานออกมามีคุณภาพมากที่สุด
|