เปิดวาร์ปหมอความงาม หมอแจง เจ้าของคลีนิก Sincere Clinic
category: Lifestyle
tag: Sincere Clinic Master Degree of Dermatology หมอแจง ปิยวดี จิตสมบัติ
คุณหมอแจง ปิยวดี จิตสมบัติ เกิดและเติบโตที่จังหวัดโคราช คุณพ่อรับราชการ ส่วนคุณแม่เป็นทันตแพทย์ หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้ว คุณหมอก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ
คุณหมอเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาตั้งแต่ 1-5 ที่โรงเรียนจิตรลดา ช่วงที่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นั้น คุณหมอตัดสินใจสอบเทียบตามค่านิยมเด็กไทยสมัยนั้น โดยเลือกคณะเอนทรานซ์ 5 อันดับ
ด้วยความที่ผูกพันและคุ้นเคยกับอาชีพทันตแพทย์จากการเห็นคุณแม่ทำงานด้านนี้มาตลอด อีกทั้งเคยไปช่วยงานที่คลินิกของคุณแม่บ่อยๆ สมัยที่อยู่โคราช ในเวลานั้นคุณหมอแจงจึงเลือกคณะทันตแพทย์ 4 อันดับ และสุดท้ายอันดับที่ 5 คือบัญชี
รูปสมัยเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดที่โคราช
รูปสมัยอยู่ที่ โรงเรียนจิตรลดา
“ คุณแม่เปิดคลินิกที่โคราช ตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็จะไปช่วยงานคุณแม่ที่คลินิกตลอด ปั่นอมัลกัมบ้าง เวลาผู้ช่วยไม่พอก็ช่วยอยู่ข้างๆ เตียงบ้าง เวลาคุณแม่พิมพ์ฟันก็จะชอบช่วยเทปูนให้ เราคงชอบทำงานฝีมือมาตลอด ก็เลยคิดว่าเป็นทันตแพทย์นี่แหละ น่าจะดีและเหมาะกับเราที่สุด"
จุดเปลี่ยนที่ 1 ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่เลือกให้
ท้ายที่สุดแล้วคุณหมอแจงก็ไม่ได้เป็นทันตแพทย์ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก คุณหมอเล่าจุดเปลี่ยนเส้นทางสายอาชีพให้ฟังว่า
“ คุณแม่มาขอดูคณะที่เลือกในวินาทีสุดท้าย ท่านเห็นว่าเป็นทันตแพทย์ทั้งหมด ก็เลยโน้มน้าวให้เลือกหมอสัก 1 อันดับ ภายหลังมารู้ว่า จริงๆ แล้ว คนที่ให้เลือกหมอ คือคุณพ่อ แต่ให้คุณแม่มาโน้มน้าวแทน
จริงๆ แล้ว ตอนนั้นก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าอาชีพหมอเนี่ย ต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง แต่ในเมื่อท่านอยากให้เราเลือก เราก็เลยตามใจ ให้ท่านเป็นคนเลือกเลย อันดับ 1 แพทย์สถาบันไหน ซึ่งท่านเลือกคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีให้ ส่วนอันดับที่เหลือก็เป็นทันตแพทย์ทั้งหมด พอผลสอบเอนทรานซ์ออกมาก็ปรากฏว่าเราติดอันดับ 1”
รูปงาน Bye nior จบปี 6 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
คุณหมอแจงเล่าเรื่องราวย้อนวัยเยาว์ให้ฟังอย่างมีความสุข พลางบอกว่า หากวันนั้นคุณแม่ไม่ทัดทานและโน้มน้าวให้เปลี่ยน คุณหมอแจงอาจจะไม่ได้เป็นหมอในเช่นทุกวันนี้
“ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากๆ เพราะว่ายิ่งเรียนไปเรื่อยๆ ได้สัมผัสคนไข้ รู้เลยว่า ชีวิตมีความสุขมากที่ได้เป็นหมอ คุณพ่อคุณแม่เลือกให้เราไม่ผิดจริงๆ...”
จุดเปลี่ยนที่ 2 แพ้ทางเทคโนโลยี เลือกเรียน Master Degree of Dermatology
“หลังเรียนจบ 6 ปีแล้ว นักศึกษาแพทย์จะต้องไปใช้ทุน เราก็ไปใช้ทุนที่จังหวัดบุรีรัมย์ 2 ปี จังหวัดนนทบุรี 2 ปี ช่วงที่ใช้ทุนถือเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุดอีกช่วงหนึ่ง ได้สัมผัสชีวิตคนต่างจังหวัดที่อยู่ไกลๆ เขาใช้ชีวิตในแบบช่วยเหลือแบ่งปันกัน ตอนนี้นึกถึงแล้วก็ยังนั่งอมยิ้มอยู่เลยนะคะ
เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องเลือกเรียนต่อเฉพาะทาง เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าชอบงานในห้องผ่าตัดมาก ผ่าตัดไส้ติ่ง ผ่าท้องคลอด ชอบงานของมีคม จึงตั้งใจว่าจะเรียนศัลยกรรมทั่วไป หรือไม่ก็สูตินรีเวช แต่ก็เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายอีกครั้ง เพราะช่วงนั้น เครื่อง laser ด้านความงามเริ่มเข้ามาในเมืองไทย อยู่ดีๆ ก็ตกหลุมรักเครื่องยนต์กลไกพวกนี้ มันดึงดูดใจมาก อยากจะรู้ว่า เครื่องต่างๆ เหล่านี้ทำงานยังไง แหล่งพลังงานใช้อะไร ออกฤทธิ์กับส่วนไหนของ cell ดังนั้นจึงเปลี่ยนใจ มาเลือกเรียน Master Degree of Dermatology ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี
และความสงสัยอยากรู้ของเรานี่แหละ เป็นที่มาว่า ทุกวันนี้ ทำไมคลินิกเล็กๆ อย่างเราถึงมีเครื่องเยอะมากขนาดนี้ มีมากพอๆ กับโรงพยาบาลใหญ่ๆ เลยก็ว่าได้ ยอมรับเลยค่ะว่าแพ้ทางเทคโนโลยีใหม่ตลอดเลยภาพ
งานปีใหม่ที่จัดรวบยอดกับวันเกิดกับน้องๆๆ sincere beauty clinic
และแม้จะเป็นช่วง COVID-19 ระบาดแบบนี้ มีประกาศออกมาว่าให้ปิดคลินิก นอกจากเราต้องจัดการกับรายจ่ายที่มากเท่าเดิมและเงินเดือนน้องๆ อีก 20 กว่าคนแล้ว เราก็ยังสามารถนำเครื่องใหม่ที่มีราคาแพงมากๆ เข้ามาจนได้ ตอนที่ได้สัมผัสการทำงานของเครื่องนี้ในนาทีแรก ก็รู้เลยว่านี่คือสิ่งที่รอคอยมานาน ตอนนี้กำลังเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาค่ะ ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อมากทีเดียว"
จุดเปลี่ยนที่ 3 ตัดสินใจเปิด Sincere Clinic เริ่มต้นจากศูนย์
“หลังเรียนจบ ไม่เคยคิดจะเปิดคลินิกเลย เพราะเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ การบริหารจัดการองค์กร เป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้จัก ประกอบกับเป็นคนแบบที่เรียกว่าเงินเดือนแค่ไหนก็อยู่สบาย เพราะเราถูกเลี้ยงมาให้มีความสุขกับสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ความสุขมาจากความรักรอบๆ ตัว การทำให้คนอื่นยิ้มเวลาเจอเรา ซึ่งสิ่งนี้ได้ตัวอย่างที่ดีมาจากคุณแม่ บอกเลยว่าในช่วงวัยเด็กสถาบันครอบครัวสำคัญกว่าสถานศึกษามาก
Sincere Clinic เกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องบอกว่ามีจุดเปลี่ยนอีกครั้งค่ะ ด้วยนิสัยของเราที่ชอบคิดต่างและเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง พอไปทำงานในคลินิกใหญ่ๆ ที่เขามีระบบระเบียบกฏเกณฑ์ที่ชัดเจน เราก็เริ่มรู้สึกไม่มีความสุข ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะในความคิดเรา เราเชื่อว่าการทำงาน งานหนึ่งไม่ว่าจะเป็นอาชีพแพทย์ หรืออาชีพไหนๆ ก็ตาม วิธีการมีได้ตั้งหลายแบบเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย การถูกตีกรอบความคิด ทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุขในการทำงานเลย ดังนั้นจึงตัดสินใจออกมาเปิดคลินิกเล็กๆ ของตัวเอง เพื่อจะได้ทำสิ่งที่คิด สิ่งที่ฝัน ตอนนั้นเริ่มจากศูนย์เลยค่ะ ยากเหมือนกัน แต่คุ้มค่า เพราะมาถึงวันนี้ ชีวิตมีความสุขมากๆ ได้ทำสิ่งที่รักที่อยากจะทำในทุกๆ วัน เดี๋ยวนี้ถ้าจะอารมณ์เสียก็มีแค่เรื่องเดียว คือ หิว 555
จากวันแรกที่เริ่มเปิด มาถึงตอนนี้ก็ 10 ปี นิดๆ แล้ว จากครอบครัว Sincere เล็กๆ ที่มีพนักงานเพียงแค่ 4 คน ปัจจุบันกลายเป็นครอบครัว Sincere ที่ใหญ่ขึ้น พนักงาน 20 กว่าคนแล้ว แต่ยังมีหมอคนเดียวนะคะ จาก laser 3 เครื่อง ก็กลายเป็น 10 กว่าเครื่อง จากมีแต่ทำหน้าก็กลายเป็นทำตัวด้วย เรามีเครื่องทำตัวหลายเครื่องมาก คิดว่าที่คลินิกของเราอยู่ได้มายาวนานขนาดนี้ เป็นเพราะความใส่ใจดูแลคนไข้นะคะ น้องๆ ทุกคนดูแลคนไข้ดีมาก จนเพื่อนๆ เราหลายคนมาแอบชมหลังไมค์ เราก็ได้แต่ดีใจ ปลื้มใจ ยิ้มแก้มปริไป
ในส่วนของเราที่เป็นแพทย์ ก็ค่อยๆ พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ เรามีความสุขกับงานมาก ทำได้ไม่เคยเบื่อเลย อาจมีเหนื่อยแต่ไม่เคยเบื่อ คนไข้ทุกคนคืออาจารย์ของเรา คอยติชม แนะนำ เสนอแนวทาง จนถึงขั้นบางคนช่วยคิดวิธีการต่างๆ ให้ด้วย ซึ่งเราแฮปปี้มากนะ คนไข้ก็ได้ในสิ่งที่ตรงใจเขาส่วนเราก็ได้เทคนิคใหม่ๆ เพิ่ม”
ทำงานหนัก แต่ก็ต้องหาเวลาพัก ดูแลคนที่รัก ดูแลตัวเอง
คุณหมอแจง เป็นคุณหมอคนสวยที่แม้ทำงานหนัก แต่ไม่เคยว่างเว้นการดูแลตัวเองเลยสักนิด “ทุกวันนี้ทำงาน 6 วันต่อหนึ่งอาทิตย์ค่ะ แทบไม่มีเวลาว่างเลย แต่ยุ่งยังไงก็ตาม หลังเลิกงานกลับบ้านแล้ว ก็ต้องมีเวลาให้กับลูกชาย 2 ตัว น้องสำอางกับเจ้าสัว และต้องออกกำลังกายโยคะด้วยค่ะ เล่นโยคะอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ช่วงเวลาเช้าตรู่ก่อนไปทำงาน นอกจากนี้สิ่งที่ช่วยให้ผ่อนคลายอีกอย่างก็คือดนตรี เป็นคนชอบเล่นดนตรีไทยค่ะ คงเพราะเรียนจิตรลดา ที่นั่นปลูกฝังให้เรารักความเป็นไทย แล้วเสียงเครื่องดนตรีไทยก็มีเสน่ห์มาก ตอนนี้ เล่นขลุ่ยเพียงออ ขิม ซออู้ อีกสักพักว่าจะเริ่มหัดซอด้วง ซื้อมาไว้แล้วแต่ยังไม่หัดเล่นสักที ล่าสุดก็เพิ่งซื้ออูคูเลเล่มาหัดเล่นเองด้วย สนุกดีค่ะได้ลองอะไรใหม่.....”
กีฬาโปรด โยคะเล่นอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ตอนเช้าตรู่ก่อนมาทำงาน
ความรักคือความรู้สึกดีๆ กับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว
“ คือความรู้สึกดีๆ ที่อยู่รอบตัวของเราค่ะ ในทุกๆ วัน ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เราก็รู้จักกับ soulmate คู่แรกของเราแล้ว ซึ่งก็คือคุณพ่อคุณแม่ที่สอนให้เรารู้จักความรักและการให้ ในแบบที่ไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องการอะไรตอบแทน คุณย่าที่หมั่นพาเราเข้าวัด ตั้งแต่จำความได้มีแต่ความรักรอบๆ ตัวเรา คุณป้าที่หัดให้เราคิดเลขเร็วในตอนที่ขับรถพาเราไปส่ง โรงเรียนทุกวัน อาม่าที่รู้ว่าเราสอบเรียนหมอได้ บอกกับเราทุกครั้งที่เจอหน้าว่า เวลาผ่าตัดคนไข้ ต้องไหว้พระขอให้คนไข้ปลอดภัยด้วยนะ แล้วในวันที่เราโตขึ้น ต้องเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง เราก็เจอ soulmate อีกหลายคน ที่ทำให้เราเติบโต แข็งแรง เข้าใจความหมายของชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือรู้จักตัวเราเองมากขึ้นในทุกๆ วันที่ผ่านไป จนตอนนี้เราพร้อมที่จะมอบความรักให้กับคนรอบข้าง เหมือนที่เราเคยได้รับมา นี่แหละนิยามความรักในแบบของเรา เรารู้สึกแบบนี้จริงๆ ”
ในยามว่างนอกจากเล่นโยคะ เล่นดนตรีแล้ว คุณหมอแจงยังให้เวลากับการท่องโลกอินเทอร์เนต ซึ่งก็ได้ทั้งความรู้ แรงบันดาลใจและความเพลิดเพลินสบายใจอีกด้วย
“ ชอบดู youtube เหมือนกัน ดูหลายช่องเลย แล้วแต่ว่าช่วงนั้นสนใจอะไร อย่างช่วงก่อนหน้านี้สนใจเรื่องกัญชา (cannabis ) ก็ดูแต่เรื่องนี้ ดูแพทย์ทั้งในประเทศอเมริกาและแถบยุโรป ที่มาแชร์ประสบการณ์การใช้กับคนไข้จริงๆ ดูสารคดีการค้นพบครั้งแรกโดย Prof.Dr.Raphael Mechoulam (Godfather of cannabis )
ชอบฟังบทสัมภาษณ์ แนวความคิดของ Idol ในดวงใจ อย่างถ้าในประเทศไทย ก็คือ ศ.ภญ.ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ฟังทุกครั้งก็รู้สึกดีทุกครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่ต้องผ่านวิกฤต แนวคิดของท่าน ทำให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายแทบจะหายไปเลยค่ะ ส่วนถ้าเป็นต่างประเทศก็ Jack ma กับ Oprah Winfrey แนวคิดของสองท่านนี้ ทำให้เราเข้าใจความหมายของชีวิตว่า คนเราเกิดมาทำไม ส่วนถ้าแนว Entertainment ก็ต้อง Gigi Hadid กับ Taylor Swift น่ารัก และเป็นตัวเองดีค่ะ เวลาดูคลิปของสองคนนี้ทีไร ละลายทุกที ดูแล้วอารมณ์ดีค่ะ”
|