คุณเป็นกรดไหลย้อนหรือเปล่า เช็กสัญญาณความเสี่ยง
category: Health
tag: โรคกรดไหลย้อน กรดไหลย้อน
เชื่อว่ามีหลายคนที่เผชิญกับอาการ แสบคอเรื้อรัง เรอเหม็นเปรี้ยว จุกเสียดแน่นท้อง ปวดแสบร้อนที่ยอดอกหรือบริเวณลิ้นปี่
อาการต่างๆเหล่านี้ทำให้แน่นหน้าอก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ และอยากอาเจียนตลอดเวลา โดยไม่รู้แน่ชัดว่า ตนเองกำลังเป็นโรคอะไรกันแน่
อาการเหล่านี้เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ความเร่งรีบในสังคม ส่งผลให้พฤติกรรมประจำวันเปลี่ยนไป ทั้งการรับประทานอาหารที่ไม่เป็นเวลา ทานแล้วนอนทันที หรือแม้แต่อาหารบางประเภทที่เราเลือกทานเข้าไป ไม่มีประโยชน์เท่าที่ควร เมื่อรวมเข้ากับความเครียด จากการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันทั้งหมด ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณต้องพบกับอาการไม่พึงประสงค์ข้างต้น จนเกิดเป็นโรค (Gastro-Esophageal Reflux Disease; GERD) หรือ “โรคกรดไหลย้อน” ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรืออยู่ในช่วงอายุใด ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
รศ.นพ. นุสนธิ์ กลัดเจริญ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ บอกว่า แม้ว่า “โรคกรดไหลย้อน” ไม่ใช่โรคอันตรายถึงชีวิต แต่ก็บั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเพราะ เกิดจากสภาวะที่มีกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีมากเกินไป จนไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะขึ้นเหนือหูรูดหลอดอาหาร ซึ่งกรดจากกระเพาะมีฤทธิ์กัดเนื้อเยื่อของหลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร รู้สึกแสบร้อน ปวดแสบร้อนที่ยอดอก และเรอเปรี้ยว ซึ่งอาจจะปวดร้าวขึ้นมาถึงบริเวณคอได้ หากละเลยไม่ทำการรักษา อาจทำให้เรื้อรัง มีความเสี่ยงให้กลายเป็น “มะเร็งหลอดอาหาร” ได้ในที่สุด
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคนี้คือ ความเครียด, ดื่มสุรา ,อ้วน ,ตั้งครรภ์ ,สูบบุหรี่,กินอาหารมื้อหนัก ตอนดึก ๆ , อาหารรสเปรี้ยว เผ็ด,อาหารมัน ของทอด, ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ช็อกโกแลต
ผลการศึกษาในอเมริกา พบว่า 60% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนมีอาการปานกลางถึงรุนแรง ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตแย่ลง โดย 75% นอนหลับยาก 51% รบกวนการทำงาน และอีก 40% ออกกำลังกายไม่ได้ ดังนั้น การป้องกันและรักษาที่ดีที่สุด ได้ด้วยการดูแลตัวเอง ควบคุมจัดการกับความเครียด, ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หากจำเป็นต้องรับประทานยาควรปรึกษาเภสัชกรถึงข้อมูลเพิ่มเติม ในปัจจุบันมียากลุ่มที่สร้างชั้นเจลป้องกันการไหลย้อนของกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่ออกฤทธิ์ได้เร็วและปลอดภัยในการใช้บรรเทาอาการ หากมีอาการมากขึ้น หรือบ่อยก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาเพิ่มเติม
|