ตาพร่ามัว...อย่าชะล่าใจ หมอตาเตือนคนวัยทำงานอายุ 30+ ระวังเบาหวานขึ้นจอตา ภัยเงียบที่คุกคามสายตาจากโรคเบาหวาน

 

พบ 24-31% ของผู้ป่วยเบาหวานในไทยมีภาวะแทรกซ้อนทางตา เสี่ยงตาบอดถาวรโดยไม่รู้ตัว หมอชี้ตรวจเร็ว รักษาเร็ว ชะลอการสูญเสียการมองเห็นได้

 


นพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์

 

        เนื่องในวันเบาหวานโลก ปี 2567 จักษุแพทย์เตือนคนไทยวัยทำงานหมั่นตรวจเช็คสุขภาพตาเป็นประจำ หลายคนมักมองข้ามสัญญาณเตือนเล็กๆ น้อยๆ ของปัญหาสุขภาพตา เพราะคิดว่าอายุยังน้อย การไม่ดูแลสุขภาพโดยเฉพาะการรับประทานอาหารโดยไม่ควบคุมและดูแลเรื่องระดับน้ำตาล เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคเบาหวาน และมีโอกาสพัฒนาไปสู่ "ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา" เสี่ยงตาบอดถาวรโดยไม่รู้ตัว

        ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Macular Edema หรือ DME) เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง ทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในชั้นจอประสาทตามีความผิดปกติ ส่งผลให้จุดรับภาพจอตาบวม โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ จากสถิติพบว่า ปัจจุบันในประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนคนต่อปี และปัจจุบันมีคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่เป็นโรคเบาหวานถึง 6.9 ล้านคน โดยคนไทยอายุ 30 - 60 ปี มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานถึง 12% ที่น่าวิตกกว่านั้นคือ โรคเบาหวานในทุกอายุมีโอกาสพัฒนาเป็นภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา (DME) ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วยเบาหวาน โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มักไม่รู้ตัวว่ามีภาวะดังกล่าว เนื่องจากอาการมักไม่แสดงชัดเจนในช่วงแรก 

 


 

       ด้วยเหตุนี้ การตรวจคัดกรองและการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นโรค DME อีกทั้งยังช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ นายแพทย์ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ จักษุแพทย์ด้านจอตาและม่านตาอักเสบ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า “สถานการณ์ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาในประเทศไทยกำลังน่าเป็นห่วง จากการศึกษาพบว่า 1 ใน 4 ของผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันและอาจเกิดกับตาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โดยที่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดบริเวณดวงตา และหากสังเกตุจากภายนอกก็อาจไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของดวงตา ด้วยเหตุนี้ โรคทางสายตาจึงถือเป็นภัยเงียบ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าใจว่าการมองเห็นไม่ชัดเป็นผลจากค่าสายตาที่เปลี่ยนไป"

          กรณีของ นางสาวอัจฉรา เซ่งฮะ นักธุรกิจ วัย 51 ปี เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง "ดิฉันเป็นอดีตพนักงานธนาคาร ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาการเงินและทำธุรกิจของตัวเอง สมัยก่อนไม่เห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย และใช้ชีวิตไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าไหร่ เพราะคิดว่าอายุน้อยคงไม่เป็นไร ใช้ชีวิตเต็มที่สะสมมานานกว่า 20 ปี จนกระทั่งตรวจเจอว่า เป็นเบาหวานมามากกว่า 3 ปี แต่ไม่เคยคิดว่าจะส่งผลกระทบกับดวงตา ต่อมาเริ่มมีอาการมีเส้นเหมือนใยแมงมุมเกิดขึ้นที่ตา พอไปพบหมอถึงรู้ว่าตามีปัญหาเกิดจากภาวะเบาหวานระยะที่สาม หากเกินขั้นนี้ไป คือตาบอดค่ะ"   

 


 

           การรักษาภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาในประเทศไทยมีวิวัฒนาการดีขึ้นจากเมื่อก่อนนพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ อธิบายว่า "เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทางการรักษาหลักของโรคทางจอประสาทตา รวมถึงภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาจะเป็นการใช้เลเซอร์ ซึ่งช่วยชะลอโรคได้ แต่ไม่ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นมาก ต่อมามีการพัฒนาเป็นยาฉีดเข้าน้ำวุ้นตาที่ยับยั้ง VEGF (Anti-VEGF) ช่วยลดการงอกของเส้นเลือดที่จอประสาทตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้น แต่ต้องฉีดบ่อยทุก 1-2 เดือน ซึ่งสร้างภาระให้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกลโรงพยาบาลหรือต่างจังหวัด ที่ผู้ดูแลต้องลางานพาผู้ป่วยมาโรงพยาบาลบ่อยๆ ปัจจุบัน ยาฉีดเข้าไปในน้ำวุ้นลูกตามีการพัฒนามากขึ้น มีนวัตกรรมใหม่ที่ยับยั้งสองกลไกของการเกิดโรค คือ ยับยั้งทั้ง VEGF และ Ang-2  (Anti Ang-2/VEGF) ช่วยทั้งลดการงอกและการรั่วของเส้นเลือด ลดการอักเสบ และเพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือด ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น จากงานวิจัย พบว่าประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยฉีดยาที่ยับยั้งสองกลไก (Anti Ang-2/VEGF) เพียงหนึ่งครั้งใน 3 เดือน และประมาณร้อยละ 60 ฉีดเพียงหนึ่งครั้งใน 4 เดือน คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยจึงก็ดีขึ้นกว่าเดิม และจากการวิจัยทางคลินิก ในผู้ป่วยกว่า 3,200 ราย และการรักษาจริงกว่า 4,000,000 เข็มทั่วโลก ไม่พบผลข้างเคียงที่แตกต่างจากยาเดิม"

       จากสถิติพบว่า ในผู้ป่วยที่มีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา หากไม่ได้รับการรักษา  20-30% ของผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็น ดังนั้น การวินิจฉัยที่เร็วและเริ่มการรักษาทันทีจึงเป็นสิ่งสำคัญ นพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ กล่าวเสริม

      "โชคดีที่ดิฉันได้รับการรักษาทันเวลา ภายหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาฉีดที่ยับยั้งสองกลไก (Anti Ang-2/VEGF) ควบคู่กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้การมองเห็นของดิฉันมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ปัจจุบันแพทย์ระบุว่า สภาวะการมองเห็นของดิฉันกลับสู่ภาวะปกติแล้ว เพียงต้องเข้ารับการตรวจติดตามผลทุก 3 เดือนเท่านั้น" คุณอัจฉรา กล่าวเพิ่มเติม "อยากฝากถึงคนไทยทุกคนให้ดูแลสุขภาพตั้งแต่เริ่มต้นไม่ว่าจะเรื่องของอาหารการกินที่ดีต่อสุขภาพและถูกสุขลักษณะ พร้อมกับการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย และไม่ประมาทกับชีวิต เพราะอาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย"  

       "ผู้ที่มีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ ควรปรับพฤติกรรมและควบคุมโรคประจำตัวให้ดี โดยเฉพาะการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม, ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, งดการสูบบุหรี่ และควรต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่องตามการนัดของแพทย์ นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรหมั่นตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อการวินิจฉัยที่เร็วและเริ่มการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดการสูญเสียการมองเห็น เพราะการมองเห็นที่ชัดเจนเป็นส่วนสำคัญยิ่งกับคุณภาพชีวิต” นพ. ธนาพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

 


 


       อย่างไรก็ดี หากทราบว่าเป็นโรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา รวมถึงภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา มีการพัฒนาการรักษาด้วยนวัตกรรมใหม่ที่ยับยั้งสองกลไกของการเกิดโรค ช่วยลดภาระให้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลที่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อยๆทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแลดีขึ้นกว่าเดิม   ผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรรับคำปรึกษาจากจักษุแพทย์ เพื่อเลี่ยงอาการรุนแรงของโรคซึ่งสามารถนำไปสู่การตาบอดถาวรโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้โรช ไทยแลนด์ ขอเชิญชวนให้คนไทยทุกคนดูแลสุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

 

 

 

More
ฝุ่น PM 2.5 อันตรายที่มองไม่เห็นด้วยดวงตา ภัยร้ายทำลายเส้นผม
จุฬาฯ เปิดตัว “วีลแชร์เดินได้” Wheelchair Exoskeleton หุ่นยนต์สวมใส่บนร่างกายมนุษย์
ภัยเงียบ ! หมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท รักษาไม่ตรงจุดเสี่ยงพิการ
แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง เผย “รักษาที่ต้นเหตุ” หายอย่างยั่งยืน
‘RSV’ โรคที่ผู้ใหญ่ก็เป็นได้
Others
รู้ทันพลังงานจากอาหารจานเดียว
“วิว” เปิดแบรนด์ “VTint” อัพสวยด้วยลิปทินท์สูตรน้ำ ธุรกิจใหม่ป้ายแดง
เครือข่ายลดการบริโภคเค็มรวมพลังผลักดัน เครื่องตรวจวัดปริมาณโซเดียมในอาหาร (Salt Meter) ทั่วประเทศ
เริ่มแล้ว! “Makro HoReCa 2024” มหกรรมธุรกิจอาหารประเทศไทย ครั้งที่17
Bruce Jenner ตัดสินใจเป็นผู้หญิงในวัย 65 ปี
Latest
“โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี” เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมฉลองครบรอบ 17 ปี โดยมี ‘หลิงหลิง-ออม, แอลลี่ อชิรญา, โต...
“โรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี” เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมเฉลิมฉลองครบรอบ 17 ปี ของกลุ่มโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอ...
อแมนด้า ออบดัม พิตต้า ณ พัทลุง และทับทิม มัลลิกา ปลื้ม! แมคอดัมส์ (McAdams) ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์อัลตราพรีเมียมสัญชาติอัง...
TTA มอบเงิน 1 ล้านบาท สนับสนุนการฟื้นฟู รพ.รามาธิบดี หลังเหตุเพลิงไหม้
ไอคอนสยาม เตรียมส่งมอบประสบการณ์ทางวัฒนธรรมสาดความสุขสไตล์ไทย จับมือพันธมิตรรัฐ-เอกชน จัดเทศกาลมหาสงกรานต์มรดกโลกอย่างย...

 

 

Top Hits
“พีพี กฤษฏ์” ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์นมพิสทาชิโอแบรนด์ ซันคิสท์ แบรนด์ระดับโลก พร้อมร่วม ครีเอทเมนูสุดพิเศษด้วยนมพิสทาชิโอที่...
มัดรวมภาพประทับใจจากงาน เนสกาแฟ โกลด์ เครมมา คอลแลปส์ แจ็คสัน หวัง เนรมิต “เดอะ ไฟน์เนส แมนชั่น”
Za DEEP HYDRATION ผิวเปล่งปลั่งอิ่มน้ำมีประกาย สวยตั้งแต่วินาทีนี้
ลดอาการปวดเมื่อยด้วย “ท่านอนที่ถูกวิธี”
Bruce Jenner ตัดสินใจเป็นผู้หญิงในวัย 65 ปี
“เก้า - สุภัสสรา” ชวนช้อปสนุกสุดฟิน กับบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน สิทธิพิเศษเหนือระดับ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ที่ศูนย์กา...
10 อันดับอาหารคอเลสเตอรอลสูง