แพทย์จุฬาฯ เผยเคล็ด (ไม่) ลับ พิชิตภาวะหัวใจล้มเหลว

 

ปัจจุบันมีประชากรทั่วโลกป่วยด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว(Heart failure)ประมาณ 26 ล้านคนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกประมาณ46%ภายในปี พ.ศ. 2573

 


 

 

            ประชากรทั่วโลกที่ป่วยด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 46% ภายในปี พ.ศ. 2573 นี้ จำนวน 1 ใน 5 คน มีอายุมากกว่า 40 ปี จะมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต และจากข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ในศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบว่าในปี 2558 มีจำนวน 652 ราย โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ประมาณ 45% อันเนื่องมาจากการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปของคนไทยทั้งการละเลยต่อคุณภาพอาหาร การออกกำลังกาย การเผชิญกับความเครียด เป็นต้น รวมถึงการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย จึงถือได้ว่าภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นปัญหาทางสุขภาพและสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศโดยผู้ป่วยมีอาการได้หลากหลายตั้งแต่อาการน้อยจนถึงอาการมากจึงจำเป็นต้องมีวิธีการรักษาที่หลากหลายตั้งแต่การดูแลตัวเอง (self-care) การรับประทานยา การใส่เครื่องช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น ไปจนถึงการปลูกถ่ายหัวใจสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย

 


 

              ด้วยเล็งเห็นถึงภารกิจการช่วยเหลือผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวให้สามารถต่อสู้กับสภาวะของโรคและดำเนินชีวิตได้ตามปกติมากขึ้นเป็นภารกิจสำคัญ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้จัดการประชุม Chulalongkorn Heart Failure Scientific Meeting 2016 ขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เพื่อเผยแพร่ความรู้และวิทยาการเทคโนโลยีใหม่ๆในการรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว สำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในการประเมินอาการการดูแลผู้ป่วยที่เหมาะสม และสามารถส่งผู้ป่วยมารักษาต่อยังโรงพยาบาลตติยภูมิได้อย่างถูกต้อง พร้อมนำเสนอศักยภาพของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และทีมงานในการดูแลผู้ป่วยปลูกถ่ายหัวใจและการใส่เครื่องช่วยพยุงหัวใจชนิดแวด (Ventricular assisted device)ซึ่งมีแพทย์ในสาขาโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจสนใจเข้าร่วมการประชุมเป็นจำนวนมากนอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เรนเดลล์ ซี สตาร์ริ่ง(Professor Randall Starling) หัวหน้าสาขาภาวะหัวใจล้มเหลวและการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ประจำสถาบันCleveland clinic ณ รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของผู้ได้รับทุนโครงการเยาวชนรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี 2556มาร่วมบรรยายอีกด้วย

 


 

                ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศริญญา ภูวนันท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาวะหัวใจล้มเหลวและอายุรศาสตร์การปลูกถ่ายหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์หัวใจและหลอดเลือด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานผู้จัดการประชุม กล่าวว่าภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นกลุ่มอาการซึ่งมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของการทำงานของหัวใจจนหัวใจมีความอ่อนแรงและไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ตามที่ต้องการสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ  โรคลิ้นหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) โรคความดันโลหิตสูง หรือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ (Cardiomyopathy) เป็นต้นซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการและการดำเนินโรคที่แตกต่างกัน ส่วนมากผู้ป่วยมักมีอาการคั่งของน้ำที่เป็นส่วนประกอบของเลือดตามอวัยวะต่างๆ เช่น ปอดทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อย หอบ นอนราบไม่ได้ หรือต้องตื่นขึ้นมานั่งเป็นพักๆ  ขาผู้ป่วยอาจมีอาการขาบวม และ ตับหรือทางเดินอาหารผู้ป่วยอาจมีอาการจุกแน่น คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น

 


 

               อย่างไรก็ตามการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวที่ประสบความสำเร็จ จนผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ และมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ต้องอาศัยความร่วมมือที่ดีระหว่างทีมแพทย์และพยาบาลกับผู้ป่วยโดยผู้ป่วยต้องสามารถดูแลตัวเอง(self-care)ได้ด้วยการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด อันเป็นกุญแจสำคัญทำให้สามารถควบคุมภาวะหัวใจล้มเหลวได้ดี ไม่มีอาการแทรกซ้อนและไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ดังนี้

การงดเค็ม เนื่องจากอาหารที่เค็มจะทำให้ผู้ป่วยมีภาวะน้ำคั่งและอาการแย่ลงเร็ว 

การชั่งน้ำหนัก ควรทำเป็นประจำทุกวันในเวลาที่ใกล้เคียงกันและเครื่องชั่งเครื่องเดียวกัน เพราะน้ำหนักเป็นตัวชี้วัดภาวะน้ำคั่ง หรืออาการหอบเหนื่อยที่กำลังมาเยือน หากว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเร็วที่ตนเองจะต้องรีบพบแพทย์หรือโทรรายงานแพทย์หรือพยาบาลทันที

การรับประทานยาผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของยาที่รับประทานอย่างละเอียดพร้อมรับประทานยาอย่างเป็นประจำตามที่แพทย์แนะนำ

การออกกำลังกายผู้ป่วยจำเป็นต้องการออกกำลังกายอย่างถูกวิธีอย่างเบาๆ ไม่หักโหม และภายใต้คำแนะนำของแพทย์อาทิ การเดินเร็ว การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เป็นต้น โดยต้องไม่ลืมการเตรียมพร้อมร่างกาย (Warm up) ในทุกครั้งก่อนการออกกำลังกาย และหยุดพักทันทีหากเริ่มมีอาการเหนื่อย หอบ แน่นหน้าอก

 


 

          “กรณีที่ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ ตั้งแต่การรับยา การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ การใช้เครื่องมือ อาทิ การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวประสานงานดีขึ้นCardiac Resynchronization Therapy (CRT), การใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าชนิดฝัง (Implantable Cardioverter Defibrillator ; ICD) เป็นต้น แต่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการที่ดีขึ้น แพทย์จะต้องพิจารณาสู่วิธีการรักษาขั้นสุดท้ายด้วยการปลูกถ่ายหัวใจซึ่งนำหัวใจของผู้ที่ภาวะสมองตายสมองไม่ทำงานเนื่องจากมีเลือดออกในสมองแล้วนำมาเย็บต่อกับเส้นเลือดของผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเพื่อทำให้หัวใจกลับมาเต้นทำงานปกติแทนที่หัวใจที่ล้มเหลว ภายหลังการปลูกถ่ายฯ ผู้ป่วยยังต้องรับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อต้านหัวใจที่ถูกนำมาปลูกถ่ายทั้งนี้การปลูกถ่ายหัวใจจะสามารถทำให้ผู้ป่วยมีอัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 %ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เช่นเดิมหรือใกล้เคียงเดิม ทั้งนี้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นับเป็นสถาบันที่ทำการปลูกถ่ายหัวใจมากที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้ มีจำนวนมากกว่า 100 ราย ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน”ผศ. พญ.ศริญญา กล่าวเพิ่มเติม

 

 

 

 

More
ตาพร่ามัว...อย่าชะล่าใจ หมอตาเตือนคนวัยทำงานอายุ 30+ ระวังเบาหวานขึ้นจอตา ภัยเงียบที่คุกคามสายตาจากโรคเบาหวาน
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ประสบความสำเร็จในการรักษาโรคอ้วนทุพพลภาพ สกัดโรคเรื้อรั...
รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน เปิดให้บริการศูนย์ผ่าตัดผ่านกล้องเฉพาะทางและผ่าตัดส่องกล้องรักษาโรคอ้วน
เนสท์เล่เผยเทคนิคดูแลน้ำหนักตัวอย่างยั่งยืน คุมอาหารแบบแฮปปี้ กินได้ไม่ต้องอด
GSK เปิดผลสำรวจพบคนจำนวนมากขาดความรู้เกี่ยวกับ ‘ไวรัสอาร์เอสวี (RSV)’ ทั้งที่เป็นไวรัสที่อันตรายต่อสุขภาพของผู้สูงอายุ
Others
ไนกี้เสนอรูปลักษณ์และความรู้สึกใหม่ของการวิ่ง ด้วยรองเท้ารุ่นล่าสุดที่เน้นความเร็วโดยเฉพาะ
Lais Ribeiro สวย เซ็กซี่ อีกหนึ่งความภาคภูมิใจจากบราซิล
โรงพยาบาลรามาธิบดี บูรณาการความร่วมมือทางการแพทย์ เผยผลสำเร็จการปลูกถ่ายไตด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ครั้งแรกในอาเซียน
แม็กกี้ จึงได้จัดกิจกรรม สร้างสรรค์บทเรียนชีวิตที่ลูกเรียนรู้ได้ผ่านการทำอาหาร
Crocs Marin ColorLiteTM ใส่สบายทั้งวันทำงานและวันหยุดพักผ่อน
Latest
ไบร์ท - ตู ถ่ายทอดดีเอ็นเอของแบรนด์ AMI ผ่านคอลเล็กชัน Fall/Winter 2024 ณ ป็อปอัพสโตร์ สยาม พารากอน
โรงแรม เดอะ สุโขทัย กรุงเทพ ฉลองครบรอบ 33 ปี ชวนสัมผัสประสบการณ์สุดลักชัวรีของ เดอะ สุโขทัย สปา โฉมใหม่ สะท้อนความเงียบส...
เฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้า ด้วยบุฟเฟ่ต์มื้อค่ำจัดเต็มแบบไม่อั้น ณ ห้องอาหารเวนติซี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์
ตาพร่ามัว...อย่าชะล่าใจ หมอตาเตือนคนวัยทำงานอายุ 30+ ระวังเบาหวานขึ้นจอตา ภัยเงียบที่คุกคามสายตาจากโรคเบาหวาน
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ประสบความสำเร็จในการรักษาโรคอ้วนทุพพลภาพ สกัดโรคเรื้อรั...

 

 

Top Hits
“พีพี กฤษฏ์” ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์นมพิสทาชิโอแบรนด์ ซันคิสท์ แบรนด์ระดับโลก พร้อมร่วม ครีเอทเมนูสุดพิเศษด้วยนมพิสทาชิโอที่...
Za DEEP HYDRATION ผิวเปล่งปลั่งอิ่มน้ำมีประกาย สวยตั้งแต่วินาทีนี้
มัดรวมภาพประทับใจจากงาน เนสกาแฟ โกลด์ เครมมา คอลแลปส์ แจ็คสัน หวัง เนรมิต “เดอะ ไฟน์เนส แมนชั่น”
ลดอาการปวดเมื่อยด้วย “ท่านอนที่ถูกวิธี”
Bruce Jenner ตัดสินใจเป็นผู้หญิงในวัย 65 ปี
“เก้า - สุภัสสรา” ชวนช้อปสนุกสุดฟิน กับบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน สิทธิพิเศษเหนือระดับ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ที่ศูนย์กา...
10 อันดับอาหารคอเลสเตอรอลสูง